เช้าวันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน 2550 น้องพิงค์เกิดอุบัติเหตุตกอู่นอน เพราะความซุกซน ทำเอาหน้าผากโน แก้มซีกขวาช้ำเป็นรอย ป้าอ๋อยเล่าว่า ช่วงที่ป้าอ๋อยเผลอหันไปตักไข่ต้มออกจากกระทะ น้องพิงค์ที่กำลังนั่งเล่นอยู่ในอู่นอน ก็คว้าขอบอู่จะปีนขึ้นมา เลยทำให้หัวคะมำ กระแทกกับเก้าอี้ข้างอู่และร่วงลงมากองกับพื้น ร้องไห้จ้า แม่กับพ่อรีบพาน้องพิงค์ไปหาหมอทันที เพราะไม่รู้ว่าน้องพิงค์ตกแรงแค่ไหน เอาส่วนไหนลงกระแทกกับพื้นบ้าง เบื้องต้นที่สังเกตุจากอาการช้ำที่หน้าผากและแก้มคาดว่าจะเอาหน้าลงมากกว่า
หลังจากที่ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูงแล้ว พยาบาลก็พาเราไปพบหมอเฉพาะด้าน หมอตรวจดูแผลของน้องพิงค์แล้ว ให้เอ็กซเรย์ดูกะโหลกว่าร้าวหรือไม่ พ่อเป็นคนพาน้องพิงค์เข้าห้องไปตรวจ แม่กับป้าอ๋อยนั่งรออยู่หน้าห้อง ได้ยินเสียงน้องพิงค์ร้องไห้ดังลั่น สักพักพ่อก็อุ้มน้องพิงค์ออกมาด้วยหน้าตาเครียด เพราะสงสารลูก หลังจากนั้นน้องพิงค์ต้องเข้าห้องไปเอกซเรย์อีกรอบเพราะไม่ชัด คราวนี้แม่เป็นคนอุ้มเข้าไป น้องพิงค์โดนห่อตัวด้วยผ้าห่ม พยาบาลจับหน้าให้อยู่นิ่งๆ ให้แม่จับตัว เพราะน้องพิงค์ดิ้นไม่ยอม วันนี้ร้องไห้เสียงดังมากเลย เป็นครั้งแรกที่แม่ได้ยินเสียงลูกร้องไห้อย่างชนิด แหกปากร้องอย่างเอาเป็นเอาตายเลยก็ว่าได้ ฟังแล้วแม่ต้องแอบเช็ดน้ำตาด้วยความสงสาร ผลการเอกซเรย์ปกติ หมออธิบายเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดกับศีรษะ การสังเกตุอาการ สำหรับเด็กเล็กที่ยังพูดไม่ได้ หมอแนะนำให้อยู่ ร.พ. 1 คืน เพื่อดูอาการ โดยให้พ่อกับแม่เป็นผู้ตัดสินใจ ตอนแรกพ่อลังเลไม่อยากให้น้องพิงค์เครียดกับการอยู่ ร.พ. แล้วต้องเจอหมอ พยาบาลมารุมจับนั่น ตรวจนี่ แต่เมื่อน้องพิงค์อ้วกนมที่เพิ่งป้อนตอนรอผลเอกซเรย์ (อาการอาเจียนก็เป็นหนึ่งในอาการที่ต้องระวังของผู้ป่วยทางสมอง) พ่อจึงตัดสินใจ admit ให้น้องพิงค์อยู่ ร.พ. 1 คืน
น้องพิงค์ร่าเริงอยู่เสมอแม้ยามต้องเข้า ร.พ. แม่ค่อยเบาใจหน่อย พยาบาลมาตรวจวัดไข้เป็นระยะ ๆ หมอเอาไฟฉายมาส่องดูม่านตา ทุกอย่างปกติ แต่เพื่อความแน่นอนต้องรอดูอาการ อย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพราะหมอกลัวว่าอาจกระทบรุนแรงแล้วจะมีเลือดออกในสมอง และหากเป็นอย่างนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการ เช่น ซึม อาเจียน พูดไม่รู้เรื่อง ฯลฯ ในเด็กเล็กอาจจะดูได้ยากกว่าผู้ใหญ่ สำหรับน้องพิงค์ครึ่งวันเช้า นอกจากร้องไห้เพราะโดนหมอ พยาบาลจับตรวจแล้ว ก็ไม่มีอาการที่ทำให้น่าวิตก เพราะร่าเริงแจ่มใส เล่นสนุก เหมือนเดิม
ตอนเที่ยง ป้าอี๊ด น้ามัทและน้าแหม่ม มาเยี่ยมน้องพิงค์ ทุกคนลงความเห็นว่า อาการน้องพิงค์ไม่น่าวิตกเลย เพราะเจ้าตัวเล็กสดใส ร่าเริงเป็นปกติ
แม้แต่ในโรงพยาบาล แม่ก็ยังให้พ่อเอาหนังสือมาให้น้องพิงค์อ่าน เพราะการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกแห่ง จากการสังเกตของแม่ น้องพิงค์ไม่ได้เครียดเลย ชอบอ่านด้วยซ้ำ ครอบครัวเรา เป็นครอบครัวนักอ่านอยู่แล้ว บางครั้งน้องพิงค์ยังแย่งแม่อ่านหนังสือ นิตยสาร จนยับยู่ยี่หมด แม่พยายามปลูกฝังให้ลูกรักการอ่าน ชอบหนังสือ เพื่อในอนาคต ลูกจะได้สนใจเรียน สนใจอ่าน แม่ซื้อหนังสือเล่มแรกให้น้องพิงค์อ่านตั้งแต่อายุราว ๆ 4 เดือน ก่อนหน้านั้น ช่วงที่แม่ตั้งท้อง ก็อ่านหนังสือเป็นประจำอยู่แล้ว จึงทำให้น้องพิงค์สนใจหนังสือมากกว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสสัมผัสกับหนังสือ
ตอนนี้น้องพิงค์เกิดอาการ "วัยรุ่นเซ็ง" เพราะต้องจับเจ่าอยู่ในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาล อดลงไปเดินเล่นชมนก ชมไม้เหมือนเคย แม้ว่าบนอาคารผู้ป่วยชั้น 6 จะมีสวนหย่อมให้ดูก็ตามที แต่ก็ไม่ถูกใจวัยรุ่นสักเท่าไหร่
นี่คือเตียงนอน (ชั่วคราว) ของน้องพิงค์ พยาบาลเอาที่กั้นเตียงมาให้ กันพลัดตกรอบสอง อิอิ... อีกด้านที่ไม่ได้กั้นป้าอ๋อยนอนกั้นแทน พ่อหวั่น ๆ กลัวแม่จะนอนขี้เซาไม่ยอมตื่น หากน้องพิงค์จะตื่นมาปีนเตียงตอนดึก แม่เลยให้ป้าอ๋อยมานอนกับน้องพิงค์ ส่วนแม่ยึดโซฟาแทนเตียง เรื่องเล่าขำขันตอนนอนที่โรงพยาบาล ช่วงดึก ๆ พยาบาลมาวัดไข้น้องพิงค์ ป้าอ๋อยที่กำลังเคลิ้ม ตกใจตื่น นึกว่าโดนผีหลอก แม่นอนหัวเราะป้าอ๋อย เพราะแม่ตื่นตั้งแต่พยาบาลเปิดประตูเข้ามาแล้ว เห็นอาการผวาของป้าอ๋อยแล้ว ขำสุด ๆ
ป้าอ๋อยบอกว่านอนไม่หลับเลย เพราะเตียงแคบมาก กลัวหลับแล้วทับน้องพิงค์แบน แม่เลยสั่งกาแฟกับโจ๊กปลามาเอาใจป้าอ๋อย (ที่โรงพยาบาลธนบุรีมีบริการเสริฟอาหารถึงห้องพักเหมือนโรงแรมเลย)